มหากาพย์ก่อนศึกตัดสินจ้าวยุโรปใบเล็ก อาร์เซนอล VS เชลซี : บทที่ 2

สกู๊ป วาไรตี้ 28 05 2019

บทที่ 2 “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ก้าวย่างของราชสีห์ หวังสยบยุโรปใต้อุ้งเท้า

เชลซี ท็อปทีมของลีกผู้ดีอังกฤษ ผ่านพ้นปัญหาต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเจ้าของทีมอย่าง โรมัน อบราโมวิช การปลดอันโตนิโอ คอนเต้ หรือความแน่นอนของซูเปอร์สตาร์ภายในทีม

ทำให้ เชลซี ดูเป็นทีมที่มีปัญหาในการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่พอควร ในปีนี้พวกเขามีเป้าหมายในการกลับไปอยู่บนพื้นที่ท็อบโฟร์อีกครั้งหลังจากที่ฤดูกาลก่อน ทีมพลาดตั๋วเล่นรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

การได้เมาริซิโอ ซาร์รี่ มาเป็นโค้ช ทำให้เชลซีมีสไตล์การเล่นที่สวยงามมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่ซาร์รี่เคยสร้างทีมอย่าง นาโปลี ให้กลายเป็นทีมลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัว

เขาสร้างมิติเกมรุกใหม่ๆ ให้กับเชลซี แม้ผลงานในช่วงปรีซีซั่นจะยังถือว่าไม่ดีมาก แต่ว่าสิ่งที่แฟนบอลได้เห็นก็คือรูปแบบการเล่นที่ต่างไปจากเดิม ทำให้ดูแล้วงานนี้เชลซีดูมีภาษีพอสมควรที่จะสามารถลุ้นถึงแชมป์ได้เลยทีเดียว

แม้ทีมจะเสียผู้เล่นระดับโลกอย่าง ธิโบต์ กูร์กตัวส์ ไป แต่ทีมก็ได้เซ็นผู้รักษาประตูจาก บิลเบา อย่าง เกป้า มาทดแทน ด้วยค่าตัวทำลายสถิติโลก แถมยังได้ผู้เล่นชั้นดีมาหลายคน

ไม่ว่าจะเป็นกองกลางอย่าง จอร์จินโญ่ ที่ย้ายตาม ซาร์รี่ มาติดๆ ตามด้วย โควาซิช ดีกรีแชมป์ยูฟ่า 3 ปีติดจาก เรอัล มาดริด อีกทั้งยังสามารถเก็บผู้เล่นอย่าง อาซาร์ เอาไว้กับทีมได้

อีกจุดที่น่าสนใจสำหรับก็คือ ซาร์รี่ การต้องเลือกใช้ใครเป็นกองหน้า ระหว่าง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ กับ อัลบาโร่ โมราต้า ซึ่งหากวัดจากผลงานล่าสุด ก็ต้องบอกว่าเป็น ชิรูด์ ที่ดูดีกว่า จากการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกกับ ทีมชาติฝรั่งเศส

แต่ถ้ามองถึงสไตล์การทำทีมของ ซาร์รี่ ก็ต้องบอกว่าเป็น โมราต้า ที่ดูจะเข้าแผนมากกว่า แต่ก็ยังไม่มีใครได้รับการันตีตัวจริง หลังทั้งคู่ยังไม่ได้โชว์ความเฉียบคมในการจบสกอร์ให้เห็นมาตั้งแต่ฤดูกาลที่ผ่านมา

ผ่านมาจนถึงวันนี้ ฤดูกาล 2018-2019 จบลงไปแล้ว เชลซี คว้าอันดับ 3 ไปครอง แต่ภาพรวมของผลงานยังห่างกับ2ทีมที่เบียดลุ้นแชมป์อย่างแมนซิตี้และลิเวอร์พูล ถึง20กว่าคะแนน อย่างไรก็ดี เชลซีก็ได้ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปีหน้าแน่นอนแล้ว ทำให้ดูว่าการทำผลงานในถ้วยเล็กอย่างยูโรปาลีก กลายเป็นจานแถม ไว้ลับคมเขี้ยวฝึกประสบการณ์กันไป

เชลซีนั้นผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาในฐานะอันดับ1 ไม่เพลี่ยงพล้ำให้แก่ทีมใด ซึ่งไม่น่าแปลกใจด้วยความห่างชั้นกันของทีมในสาย กว่าจะมาเจอบททดสอบที่แท้จริงก็ล่วงเลยมาถึงรอบรองชนะเลิศ ที่ต้องสู้ถึงวินาทีสุดท้าย ดวลจุดโทษกับไอน์ทรัค แฟรงเฟิร์ท และเฉือนกันไป 4-3

ดังนั้น ในศึกนัดชิงชนะเลิศที่ต้องโคจรมาพบกับทีมระดับหัวกะทิของยุโรปเช่นกัน อย่าง อาร์เซนอล จึงน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ว่า ซาร์รี่และขุนพลสิงโตน้ำเงินคราม จะมุ่งมั่นทำผลงานออกมาได้ดีแค่ไหน หากจอมทัพที่แบกทีมมาตลอด อย่าง เอแด็ง อาซาร์ ที่ทั้งปั้น ทั้งยิงเอง จนกลายเป็นดาวซัลโวของทีม ด้วยจำนวน 19 ประตูทั้งฤดูกาล ถูกจับตาย ใครจะก้าวขึ้นมาเป็นฮีโร่ ช่วยทีมคว้าเกียรติยศกลับเมือง หรือจะเป็น โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ที่ยิงไป 12 ประตูทั้งฤดูกาล แถม 10ใน12ประตู ยังเป็นการตะบันในถ้วยยูโรปาซะด้วย เรียกว่าถูกโฉลกกับรายการนี้ไม่น้อย อาจจะกลายเป็นฟุตบอลนัดที่ส่งชิรูด์ให้กลับมาเป็นยอดศูนย์หน้าดาวจรัสฟ้าอีกครั้งก็เป็นได้….อีกไม่กี่วัน คงได้รู้กัน!!

fever

fever

Leave a Replay