การแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัด “มันเดย์ไนท์” เกมที่ 26 ของฤดูกาล โดยเป็นคู่บิ๊กแมตย์ประจำสัปดาห์นี้ คือ การพบกันระหว่าง “สิงห์บูลล์” เชลซี เปิดสนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ ต้อนรับการมาเยือนของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยเป็นการเจอกันของที่อันดับที่ 4 ของ “สิงห์บูลล์” และที่ 9 ของ “ปีศาจแดง” เพื่อแย่งชิงพื้นทีมไปเล่นฟุตบอลยุโรป อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้า

โดยก่อนเกม “เชลซี” มีสถิติที่ไม่ค่อยดีนัก โดย 4 ครั้งหลังสุดรวมทุกรายการ “แฟร้งค์ แลมพาร์ด” กุนซือของ “เชลซี” ไม่สามารถพาทีมชนะได้โดยแพ้ 3 ครั้ง และเสมอ 1 ครั้ง ซึ่งเกมนี้ใช้ศูนย์หน้าอย่าง “มิชี่ บาตชูอายี่” ที่ลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรกที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในรอบ 919 วัน หลังกองหน้าดาวรุ่งอย่าง “แทมมี่ อับราฮัม” มีอาการบาดเจ็บ และไม่มีชื่อแม้ตัวสำรอง

ส่วนทางด้านกุนซือของ “ปีศาจแดง” อย่าง “โอเล่ กุนนาร์ โซลชา” เกมนี้ส่ง “เอริค ไบยี่” ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเป็นนัดแรกของซีซั่น หลังจาก “วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ” มีอาการป่วยจนไม่ได้เดินทางมากับทีม โดย “ไบยี่” จะเล่นกับ “แฮร์รี่ แม็คไกวร์” และ”ลุค ชอว์” ในเเนวรับ พร้อมจัด “บรูโน่ แฟร์นันด์ส” กองกลางตัวใหม่ที่ลงเป็นเกมที่ 2 ของเจ้าตัว คอยสร้างสรรค์เกมรุกในแดนกลาง โดยจะยืนอยู่หลัง “แดเนี่ยล เจมส์” และ”อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล” ที่เล่นเป็นหน้าเป้าคู่กัน ขณะที่ “โอเดียน อิกาโล่” หัวหอกป้ายแดงมีชื่อเป็นสำรองในเกมนี้

โดยเกมในต้นครึ่งแรก ทั้งสองทีมผลัดกันรุก ผลัดกันรับอย่างสนุกมาก แต่ในนาทีที่ 13 กุนซืออย่าง “แฟร้งค์ แลมพาร์ด” ต้องใช้โควต้าเปลี่ยนตัวไปก่อน 1 คน หลังจากกองกลางจอมขยันของทีมอย่าง ” เอ็นโกโล่ ก็องเต้” ดูเหมือนจะมีอาการเจ็บจนไม่สามารถเล่นต่อไหวได้ ก่อนจะเลือกส่ง “เมสัน เมาท์” ลงเล่นแทน
จนมาในช่วงก่อนหมดเวลาในครึ่งเวลาเเรก ทีมยืนมาได้ประตูไปก่อนจากจังหวะบุกทางฝั่งขวาของ “อารอน วาน-บิสซาก้า” ก่อนเจ้าตัวจะครอสบอลมาทางเสาแรก ก่อนที่จะเป็น “อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล” โฉบมาโขกแบบเฉือนๆ จนบอลเสียบเข้าเสาไกลเข้าไป “แมนยูฯ” ออกนำไปก่อน 1-0 ในนาที่ 45 ก่อนในช่วงเวลาที่เหลือจะมีโอกาสได้เสียวบ้างแต่ก็ไม่มีประตูเพิ่มเติม ทำให้จบเกมไปด้วยสกอร์ 1-0 เป็นทางด้าน “แมนยูฯ” ทีมเยือนออกนำเจ้าบ้าน “เชลซี” ไปก่อน
ก่อนจะมาในช่วงครึ่งหลัง ในนาทีที่ 56 เป็นทางด้าน “สิงห์บูลล์” มีโอกาสตีเสมอจากจังหวะลูกเตะมุมโดย “วิลเลี่ยน” เปิดบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษก่อนจะเป็น “คูร์ท ซูม่า” วิ่งเข้ามาซัดบอลเข้าประตูไป แต่ผู้ตัดสินในสนามได้รับสัญญานจากห้องควบคุม VAR และปฏิเสธที่ประตูตีเสมอแก่เจ้าบ้าน เนื่องจาก “เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า” กัปตันทีมของ “สิงห์บูลล์” เชลซี วิ่งไปพลัก “แบรนดอน วิลเลี่ยมส์” ล้มลงไปก่อนที่เสาแรก

เลยทำให้เมื่อไม่ได้ กลับจะต้องมาเสียประตูเพิ่ม จากจังหวะ “บรูโน่ แฟร์นัด์ส” กองกลางตัวใหม่ของ “ปีศาจแดง” เปิดบอลจากลูกคอนเนอร์ เข้ามาตรงกลางกรอบเขตโทษ ก่อนจะเป็น “แฮร์รี่ แม็คไกวร์” ที่ใช้ความใหญ่ในการขึ้นเทกตัว เอาชนะกองหลังของเจ้าถิ่นที่เข้ามาประกบอย่าง “รือดิเกอร์” ก่อนจะโขกเข้าไปตุงตาข่าย ทำให้ “แมนยูฯ” ออกนำห่างเป็น 2-0 และทำให้ “บรูโน่ แฟร์นัด์ส” ทำแอสซิสต์ได้เป็นลูกแรกในสีเสื้อ “ปีศาจแดง” พร้อมทั้งเป็นประตูแรกของ “แม็คไกวร์” ด้วยเช่นกัน
ก่อน “เชลซี” เหมือนจะได้ประตูตีไข่แตกได้สำเร็จ จากจังหวะ “เมสัน เมาท์” เปิดบอลจากฝั่งขวาไปให้ “ชิรูด์” ตัวสำรองที่พึ่งลงมา ขึ้นโขกผ่านตัว “เด เคอา” เข้า แต่ผู้ตัดสินได้รับสัญญาณจากห้อง VAR อีกครั้ง และไม่ให้ประตูนี้กับ “สิงห์บูลล์” เชลซี เป็นครั้งที่ 2 ของเกม เนื่องจากเท้าของ “ชิรูด์” เลยตัวของ “แม็คไกวร์” ทำให้เป็นลูกล้ำหน้า และชวดที่จะได้ประตูตีไข่แตก
ก่อนในเวลาที่เหลือจะเป็นเจ้าบ้านที่พยายามจะเอาประตูคีไข่แตกให้ได้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จเลยทำให้ จบเกมเป็นทางด้าน “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” บุกมาชนะ “เชลซี” ถึงถิ่นไป 2-0
โดยทำให้ “โอเล่ กุนนาร์ โซลชา” สามารถเก็บสถิติไม่แพ้ “เชลซี” ถึง 5 เกมที่พบกันหลังสุด พร้อมทั้งเป็นการพาทีมชนะ “เชลซี” ได้ทั้งไปแล้วกลับ ในฤดูกาลเดียว และยังส่งผลให้ทีม “ปีศาจแดง” ขึ้นมาอันดับที่ 7 ของตาราง มี 38 แต้ม พร้อมทั้งไล่จี้ “เชลซี” ที่อยู่ในอันดับที่ 4 เพียง 2 แต้มเท่านั้น ซึ่งในเกมนี้ “สิงห์บูลล์” เเพ้เป็นเกมที่ 2 จาก 5 นัดหลังสุด และไม่ชนะใครในลีกมาแล้ว 4 เกม ทำให้ทีมตอนนี้เก็บแต้มได้เพียง 3 แต้มเท่านั้น
ขอบคุณรูปภาพจาก Premier League #ข่าวกีฬา #ข่าวฟุตบอลไทย #วิเคราะห์ฟุตบอล